วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การทดลองแสนสนุก : ทำไมท้องฟ้าจึงมีสีฟ้า




อุปกรณ์
1. โหลใส่น้ำขนาดใหญ่
2. น้ำ
3. นม หรือนมผง
4. ไฟฉาย
5. ห้องมืด (ทำการทดลองในห้องมืด)



วิธีทำ
1.  เติมน้ำลงในโหล
2.  เติมนมหรือนมผงประมาณ ½ ช้อนชา
3.  ฉายไฟผ่านเข้าไปในโหลตามแนวดิ่งบริเวณเหนือผิวน้ำ จะเห็นน้ำเป็นสีฟ้า
4.  ฉายไฟจากด้านข้างบริเวณกลางโหล
5.  เคลื่อนไฟฉายไปอีกด้านและคอยมองดูแสงในน้ำ จะเห็นน้ำเป็นสีชมพู และบริเวณตรงที่ไฟ
     ฉายส่องจะเห็นเป็นสีเหลืองหรือส้ม

สิ่งที่เกิดขึ้น
         เมื่อมองท้องฟ้าในตอนกลางวันจะเห็นเป็นสีฟ้า ทั้งที่แสงจากดวงอาทิตย์มีสีขาวประกอบด้วยสีม่วง-คราม-น้ำเงิน-เขียว-เหลือง-ส้ม-แดง หรือสีรุ้งซึ่งเกิดจากความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน (ความยาวคลื่นสูง ความถี่ต่ำแต่ถ้าความยาวคลื่นต่ำ ความถี่สูง) โดยสีม่วง, ครามและน้ำเงินมีความยาวคลื่นสั้น(ความถี่สูง)กว่าสีแดง ส้ม และเหลือง ในตอนเช้าพระอาทิตย์จะอยู่ในระดับระนาบพื้น และอยู่ไกลจากระดับสายตาเพราะฉะนั้นแสงต้องเดินทางระยะไกลจากดวงอาทิตย์จนถึงดวงตา ความยาวคลื่นต่ำ ดวงตาจึงเห็นเป็นแสงสีแดง ขณะที่ตอนกลางวันดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะ การเดินทางของแสงจากดวงอาทิตย์ถึงดวงตามีระยะสั้น คลื่นมีความถี่สูง เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นเป็นสีฟ้าในตอนกลางวัน
         
            ในการทดลอง ไฟฉายก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ น้ำที่มีนมผสมอยู่เปรียบเสมือนบรรยากาศ คือมีลักษณะเป็นคอล์ลอยมีการผสมกันของกาซไนโตรเจนและออกซิเจน การเคลื่อนตัวของไฟฉายเปรียบเสมือนการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในรอบวัน สีของเหลวจะแตกต่างกันไปตามการเคลื่อนตัวของไฟฉาย

การทดลองแสนสนุก : ความลับของสี

การทดลอง: ความลับของสี


อุปกรณ์
1.สีเมจิก สีดำ น้ำเงิน น้ำตาล
2.กระดาษกรองกาแฟ , กรองตะกอนน้ำมัน
   แก้วใส่น้ำ

วิธีทดลอง
  • ตัดกระดาษกรองเป็นแถบยาวๆ
  • ระบายสีเมจิที่ต้องการทดสอบให้เป็นแถบหนา โดยห่างจากปลายกระดาษประมาณ 1 ซม.
  • จุ่มปลายกระดาษในช่วงที่เว้นไว้ 1ซม. ลงในน้ำ *ระวังอย่าให้เส้นสีที่ขีดไว้จมน้ำ เพราะสีจะลายลงน้ำ
  • รอดู สังเกตแถบสีที่เริ่มไต่สูงขึ้นไปบนกระดาษกรอง  เธอเห็นสีอะไรซ่อนอยู่?
  • นำกระดาษไปหนีบผึ่งไว้กับที่ตากถุงเท้า แล้วทดลองสีต่อไป
เหตุผล
      สีสังเคราะห์เกิดจากการผสมของแม่สี คือ แดง เหลือง น้ำเงิน ในอัตราส่วนไม่เท่ากัน ทำให้เกิดสีต่างๆ มากมาย  การแยกสีด้วยกระดาษกรองนี้ เราเรียกว่า "เปอเปอร์โครมาโทกราฟี" (Paper Chromatography) ซึ่งเป็นการแยกสารที่ผสมกันในปริมาณน้อยให้แยกออกมาเป็นแถบเส้นสีหรือแถบสี อาศัยสมบัติ 2 ประการ คือ
            1.  สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลาย (น้ำ) ได้ต่างกัน
            2. 
สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการถูกดูดซับด้วยตัวดูดซับ (กระดาษกรอง)ได้ต่าง                      
                 กัน
                 
สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดีส่วนมากจะถูกดูดซับไม่ดี จึงเคลื่อนที่ไปได้ไกล ส่วนสารที่ละลายในตัวทำละลายได้ไม่ดี ส่วนมากจะถูกดูดซับได้ดีจึงอยู่ใกล้จุดเริ่มต้น




วันวิทยาศาสตร์


        
       วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ในวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ถือเป็นวันสำคัญยิ่งในวงการศึกษา วงการดาราศาสตร์ และวงการวิทยาศาสตร์ของไทย เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค และสถลมารค เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ ต.หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

        พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถปรับปรุงสยามประเทศให้เจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ทรงรับเอาศิลปวิทยาการและความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลกด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์

        เนื่องด้วยพระองค์ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ในที่สุดพระองค์ทรงค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) โดยอาศัยหลักตำราสารัมภ์ของมอญ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า ปฏิทินปักขคณนา ยิ่งกว่านั้น พระองค์ได้ทรงคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดานไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเครื่องหมายเรียงเป็นแถว 10 แถว แต่ละแถวมีจำนวนต่างกัน และมีเครื่องหมายแทนดวงดาว 5 ดวง เดินเคลื่อนไหวเหนือแถวเหล่านั้นคล้ายกับเดินตัวหมากรุก ก็จะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ เรียกว่า กระดานปักขคณนา ปัจจุบันนี้คณะธรรมยุตยังคงใช้กันอยู่ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่จุดประกายให้พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในวิชาดาราศาสตร์อย่างจริงจัง

        ในพระราชฐานของพระองค์ทั้งที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะ หอชัชวาลเวียงไชย นี้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา พระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2394 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์


        นอกจากนี้พระองค์ยังได้ทรงคำนวณเหตุการณ์ล่วงหน้าถึง 2 ปีว่า วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 จะเกิดเหตุการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงในประเทศไทย ที่ที่จะเห็นเหตุการณ์สุริยุปราคาชัดเจนที่สุดก็คือ หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรเหตุการณ์สุริยุปราคาที่นั่น และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ทางสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์จึงคิดกันว่า น่าจะถือว่าวันนี้เป็นวันวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกำหนดวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2525 เพื่อเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ"


วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
๑. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"
๒. เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
๓. เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน
๔. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชนในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
๕. เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี